เมนู

ผลทานของคนเข็ญใจผู้ยังไทยธรรมให้เกิดโดย
ชอบให้อยู่.

จบ พิลารโกสิยชาดกที่ 12

อรรถกถาพิลารโกสิยชาดกที่ 12



พระศาสดาเมื่อประทับอยู่ ณ พระวิหารเชตวัน ทรงปรารภ
ภิกษุผู้มีทานเป็นเครื่องปลื้มใจรูป 1 ตรัสพระธรรมเทศนานี้ มี
คำเริ่มต้นว่า อปจนฺตาปิ ดังนี้.
ได้ยินว่า ภิกษุรูปนั้นฟังพระธรรมเทศนาของพระผู้มีพระภาคเจ้า
แล้ว บวชในพระศาสนา จำเดิมแต่บวชแล้ว เป็นผู้มีทานเป็นเครื่อง
ปลื้มใจ มีอัธยาศัยยินดีในการให้ทาน ยังไม่ได้ให้บิณฑบาตที่ตกลงใน
บาตรแก่ผู้อื่นก่อนแล้วก็ไม่ฉัน โดยที่สุดได้แม้น้ำดื่มมา ยังไม่ให้แก่ผู้อื่น
แล้วก็ไม่ดี ได้เป็นผู้ยินดียิ่งในทานด้วยอาการอย่างนี้.
ครั้งนั้นภิกษุทั้งหลายพากันพรรณนาคุณของภิกษุรูปนั้น ใน
ธรรมสภา พระศาสดาเสด็จมาตรัสถามว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย บัดนี้
พวกเธอนั่งสนทนากันถึงเรื่องอะไร ? เมื่อภิกษุเหล่านั้นกราบทูลให้ทรง
ทราบแล้ว รับสั่งให้เรียกภิกษุนั้นมาตรัสถามว่า ดูก่อนภิกษุ ได้ยินว่า
เธอมีทานเป็นเครื่องปลื้มใจ มีอัธยาศัยยินดีในการให้ทาน จริงหรือ ?
เมื่อภิกษุนั้นกราบทูลว่า จริงพระเจ้าข้า จึงตรัสว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย

เมื่อก่อนภิกษุนี้ไม่มีศรัทธา ไม่มีความเลื่อมใส แม้แต่หยดน้ำมันก็ไม่
เอาปลายหญ้าคาจิ้มให้ใคร คราวนั้นเราทรมานเขาทำให้หมดพยศ ให้
ตั้งอยู่ในผลแห่งทานแม้ในภพต่อ ๆ มา ก็ยังละทานวัตรนั้นไม่ได้ ภิกษุ
ทั้งหลายทูลอาราธนาให้ตรัสเรื่องราว จึงทรงนำเอาเรื่องในอดีตมาสาธก
ดังต่อไปนี้ :-
ในอดีตกาล เมื่อพระเจ้าพรหมทัตครองราชสมบัติอยู่ในพระนคร
พาราณสี พระโพธิสัตว์เกิดในตระกูลเศรษฐี เจริญวัยแล้วรวบรวมทรัพย์
ไว้ได้มา ครั้นบิดาล่วงลับไปก็ได้ตำแหน่งเศรษฐี วันหนึ่งตรวจตราดู
ทรัพย์สมบัติแล้วคิดว่า ทรัพย์ยังปรากฏอยู่ แต่ผู้ที่ทำให้ทรัพย์เกิดขึ้น
ไม่ปรากฏ เราควรสละทรัพย์นี้ให้ทาน จึงให้สร้างโรงทานบำเพ็ญทาน
เป็นการใหญ่ตลอดชีวิต กาลเมื่อจะสิ้นอายุได้ให้โอวาทแก่บุตรไว้ว่า
เจ้าอย่าตัดทานวัตรนี้เสีย แล้วตายไปเกิดเป็นท้าวสักกะ ณ ดาวดึงส์
พิภพ. แม้บุตรของเศรษฐีนั้นก็ให้ทานเช่นนั้นเหมือนกัน แล้วกล่าว
สอนบุตรครั้นสิ้นอายุ ได้เกิดเป็นจันทเทพบุตร บุตรของเขาได้เกิดเป็น
สุริยเทพบุตร บุตรของเขาได้เกิดเป็นมาตลีสังคาหกเทพบุตร. บุตรของ
เขาได้เกิดเป็นคนธรรพ์เทพบุตร ชื่อปัญจสิขะ. แต่บุตรชั้นที่ 6 เป็นคน
ไม่มีศรัทธา มีจิตกระด้างไม่รักการให้ทานเป็นคนตระหนี่. เขาให้คน
รื้อโรงทานเผาเสีย ให้โบยตีพวกยาจกไล่ไปสิ้น แม้หยาดน้ำผึ้งก็ไม่ริน
ให้แก่ใคร ๆ ด้วยหญ้าคา.

ในกาลครั้งนั้น ท้าวสักกเทวราชตรวจตราดูบุพกรรมของ
พระองค์ ใคร่ครวญว่า วงศ์ทานของเรายังเป็นไปอยู่หรือไม่หนอ ทรง
ทราบว่า บุตรของเราบำเพ็ญทานเกิดเป็นจันทเทพบุตร, บุตรของจันท-
เทพบุตรเกิดเป็นสุริยเทพบุตร, บุตรของสุริยเทพบุตรเกิดเป็นมาตลี
เทพบุตร บุตรของมาตลีเทพบุตรเกิดเป็นปัญจสิขเทพบุตร แต่บุตรชั้นที่
หกได้ตัดวงศ์ทานนั้นเสีย ครั้งนั้น พระองค์ได้ทรงมีพระดำริว่า เราจัก
ทรมานเศรษฐีผู้มีใจลามกนี้ให้รู้จักผลทานแล้วจักมา พระองค์จึงรับสั่ง
ให้หาจันทสุริย มาตลีและปัญจสิขเทพบุตรมาตรัสว่า ดูก่อนสหายเศรษฐี
ที่ 6 ในวงศ์ของพวกเราตัดวงศ์ตระกูลขาดเสียแล้ว ให้เผาโรงทาน ให้
ขับไล่พวกยาจกไปเสีย ไม่ให้อะไรแก่ใคร ๆ มาเถิดท่านทั้งหลาย พวก
เราจักไปทรมานเศรษฐีนั้น ดังนี้แล้วได้เสด็จไปยังกรุงพาราณสีพร้อม
ด้วยเทพบุตรทั้ง 4 นั้น.
ขณะนั้น เศรษฐีไปเฝ้าพระราชา แล้วมาแลดูระหว่างถนน
อยู่ที่ซุ้มประตูที่ 7 ท้าวสักกะตรัสกะเทพบุตรทั้ง 4 ว่า เวลาเราเข้า
ไปแล้ว ท่านทั้งหลายจงตามเข้าไปโดยลำดับ ดังนี้แล้วไปยืนอยู่ในสำนัก
เศรษฐีตรัสว่า ดูก่อนมหาเศรษฐีผู้เจริญ ท่านจงให้โภชนะแก่ข้าพเจ้า
บ้าง เศรษฐีกล่าวว่า ท่านพราหมณ์ที่นี้ไม่มีภัตสำหรับท่าน ไปที่อื่นเถิด
ท้าวสักกะตรัสว่า ท่านมหาเศรษฐีผู้เจริญ เมื่อพราหมณ์ทั้งหลายขอภัต
ท่านควรให้ เศรษฐีตอบว่า ท่านพราหมณ์ ภัตนี้หุงสุกแล้วก็ดี ที่จะ
พึงหุงก็ดี ไม่มีในเรือนของเรา ท่านจงไปที่อื่นเถิด. ท้าวสักกะตรัสว่า

ท่านมหาเศรษฐี เราจักกล่าวสรรเสริญท่านอย่างหนึ่งท่านจงฟัง เศรษฐี
ตอบว่า เราไม่ต้องการความสรรเสริญของท่าน ท่านจงไปเถิดอย่ายืน
อยู่ที่นี้เลย ท้าวสักกะทำเป็นไม่ได้ยินคำของเศรษฐี ได้ตรัสคาถา 2
คาถาว่า :-
สัตบุรุษทั้งหลายแม้ไม่หุงกินเอง ได้
โภชนะมาแล้ว ก็ไม่ปรารถนาจะบริโภคผู้เดียว
ท่านหุงโภชนะไว้มิใช่หรือ การที่ท่านให้นั้น
ไม่สมควรแก่ท่าน.
บุคคลให้ทานไม่ได้ด้วยเหตุ 2 อย่างนี้
คือความตระหนี่ 1 ความประมาท 1 บัณฑิต
ผู้รู้แจ้งเมื่อต้องการบุญพึงให้ทานแท้.

ความแห่งคาถาเหล่านั้นว่า ท่านมหาเศรษฐีผู้เจริญ สัตบุรุษ
ทั้งหลายผู้สงบแล้ว แม้ไม่หุงกินเองก็ปรารถนาจะให้โภชนะแม้ที่ได้มา
แล้วด้วยภิกขาจาร ย่อมไม่บริโภคผู้เดียว.
บทว่า กิเมว ตฺวํ ความว่า ทั้ง ๆ ที่ท่านหุงอยู่ก็ไม่ให้. บทว่า
น ตํ สมํ ความว่า การที่ท่านไม่ให้นั้น ไม่สมควรคือไม่เหมาะแก่ท่าน.
ก็บุคคลให้ทานไม่ได้ด้วยเหตุ 2 อย่างคือ ความตระหนี่ 1 ความ
ประมาท 1 ก็มนุษย์ผู้เป็นบัณฑิต ผู้รู้แจ้ง ผู้เช่นกับด้วยท่าน เมื่อ
ต้องการบุญควรให้ทานทีเดียว.

เศรษฐีได้ฟังคำท้าวสักกะแล้วกล่าวว่า ถ้าเช่นนั้นท่านจงเข้าไป
นั่งที่เรือนเถิด จักได้หน่อยหนึ่ง ท้าวสักกะได้เข้าไปนั่งสวดสรรเสริญ
อยู่. ลำดับนั้น จันทเทพบุตรได้มาขอภัตกะเศรษฐีนั้นและเมื่อเศรษฐี
กล่าวว่า ภัตสำหรับท่านไม่มีจงไปเสียเถิด จึงกล่าวว่า ท่านมหาเศรษฐี
พราหมณ์คน 1 นั่งอยู่แล้วภายในเรือน เห็นจะมีสวดพราหมณ์กระมัง
เราจักเข้าไปสวดบ้าง แม้เศรษฐีจะกล่าวว่า ไม่มีสวดพราหมณ์ท่าน
จงออกไป ก็กล่าวว่า ท่านมหาเศรษฐีเชิญท่านฟังบทสรรเสริญก่อน
แล้วกล่าวคาถา 2 คาถาว่า :-
คนผู้ตระหนี่กลัวความยากจน ย่อมไม่
ให้อะไร ๆ แก่ผู้ใดเลย ความกลัวจนนั่นแหละ
จะเป็นภัยแก่คนผู้ไม่ให้ คนตระหนี่ย่อมกลัว
ความอยากข้าวอยากน้ำ ความกลัวนั่นแหละ
จะกลับมาถูกต้องคนพาลทั้งในโลกนี้และโลก
หน้า.
เพราะเหตุนั้น บัณฑิตพึงครอบงำมลทิน
กำจัดความตระหนี่เสียแล้ว พึงให้ทานเถิด
เพราะบุญย่อมเป็นที่พึ่งของสัตว์ทั้งหลายใน
โลกหน้า.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ยสฺส ภายติ ความว่า ย่อมกลัว
ความอยากข้าวอยากน้ำใดว่า เราให้แก่ชนเหล่าอื่นเสียแล้ว ก็จักกลาย
เป็นคนอยากข้าวอยากน้ำเสียเอง. บทว่า ตเมว เป็นต้น ความว่า
ความกลัว กล่าวคือความอยากข้าวอยากน้ำนั่นแหละ จะกลับมาถูกต้อง
คือเบียดเบียนคนพาลนั้น ทั้งในโลกนี้และโลกหน้าในที่ที่เขาเกิดแล้ว
เขาจะถึงความยากจนอย่างที่สุด. บทว่า มลาภิภู คิดครอบงำมลทินคือ
ความตระหนี่.
เศรษฐีได้ฟังคำของจันทเทพบุตรแม้นั้นแล้วกล่าวว่า ถ้าเช่นนั้น
ท่านจงเข้าไปจักได้หน่อยหนึ่ง จันทเทพบุตรเข้าไปนั่งใกล้ท้าวสักกะ
ต่อจากนั้นสุริยเทพบุตรปล่อยให้เวลาล่วงไปหน่อยหนึ่งแล้วมา เมื่อขอ
ภัตได้กล่าวคาถา 2 คาถาว่า :-
ทานผู้ให้ให้ได้ยาก เพราะต้องครอบงำ
ความตระหนี่ก่อนแล้วจึงให้ได้ การทำทานนั้น
ทำยากแท้ อสัตบุรุษทั้งหลาย ย่อมไม่ทำทาน
ตามที่สัตบุรุษทำแล้ว ธรรมของสัตบุรุษอันคน
อื่นรู้ได้ยาก.
เพราะเหตุนั้น การไปจากโลกนี้ของ
สัตบุรุษกับอสัตบุรุษจึงต่างกัน อสัตบุรุษย่อม
ไปนรก สัตบุรุษย่อมไปสวรรค์.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ทุทฺททํ ความว่า ขึ้นชื่อว่าทาน
บุคคลให้ได้ยาก เพราะผู้ที่จะให้ทานนั้นต้องครอบงำความตระหนี่เสีย
ก่อนจึงให้ได้. บทว่า ทุกฺกรํ ความว่า การทำทานนั้นทำยากแท้คล้าย
กับการรบศึก. บาทคาถาว่า อสนฺโต นานุกุพฺพนฺติ ความว่า พวก
อสัตบุรุษไม่รู้จักผลแห่งทาน ก็ไม่เดินตามทางที่พวกสัตบุรุษเหล่านั้น
ดำเนินไปแล้ว. บทว่า สตํ ธมฺโม ความว่า ธรรมของสัตบุรุษคือ
พระโพธิสัตว์ทั้งหลาย อันคนอื่นรู้ได้ยาก. บทว่า อสนฺโต ความว่า
พวกอสัตบุรุษไม่ให้ทานด้วยอำนาจแห่งความตระหนี่ ย่อมไปสู่นรก.
เศรษฐีไม่เห็นว่าจะหยิบเอาของที่ควรหยิบยื่นให้ไปได้ จึงกล่าว
ว่า ถ้าเช่นนั้น ท่านจงเข้าไปนั่งอยู่ในสำนักพราหมณ์ทั้งหลาย จักได้
หน่อยหนึ่ง. ต่อแต่นั้นมาตลีเทพบุตรปล่อยให้เวลาล่วงไปหน่อยหนึ่งแล้ว
มาขอภัต ในระหว่างที่เศรษฐีตอบว่า ไม่มีนั่นแหละ ได้กล่าวคาถาที่ 7
ว่า :-
บัณฑิตพวก 1 ให้ไทยธรรมแม้มีส่วน
เล็กน้อยได้ สัตว์บางพวกแม้มีไทยธรรมมากก็
ให้ไม่ได้ ทักษิณาทานที่บุคคลให้จากของเล็ก
น้อย ก็นับว่าเสมอด้วยการให้จำนวนพัน.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า อปฺปมฺเปเก ปเวจฺฉนฺติ มีอธิบายว่า
ดูก่อนมหาเศรษฐี บุรุษผู้เป็นบัณฑิตบางพวก ย่อมแบ่งปัน คือย่อมให้

ไทยธรรมแม้น้อย. บทว่า พหุนา เป็นต้น ความว่า สัตว์บางพวก
แม้มีไทยธรรมมากก็ให้ไม่ได้ คือไม่ให้เลย.
ทานที่บุคคลเชื่อกรรมเชื่อผลแห่งกรรมแล้วให้ชื่อว่าทักษิณา.
บทว่า สหสฺเสน สมํ ความว่า ทักษิณาทานแม้ประมาณข้าว
สักทัพพีเดียวที่บุคคลให้แล้วอย่างนี้ ก็นับว่าเสมอกับด้วยการให้จำนวน
ตั้งพัน คือเป็นเช่นกับ ด้วยการให้จำนวนตั้งพันนั่นเทียว เพราะมีผลมาก.
เศรษฐีกล่าวกะมาตลีเทพบุตรแม้นั้นว่า ถ้าเช่นนั้น ท่านจงเข้า
ไปนั่งเถิด ต่อจากนั้นปัญจสิขเทพบุตรปล่อยให้เวลาล่วงไปหน่อยหนึ่ง
แล้วมาขอภัต เมื่อเศรษฐีกล่าวว่า ไม่มีไปเสียเถิด จึงกล่าวว่า เราไม่
เลยไป ในเรือนนี้เห็นจะมีสวดพราหมณ์กระมัง เมื่อจะเริ่มธรรมกถา
แก่เศรษฐี จึงกล่าวคาถาที่ 8 ว่า :-
แม้ผู้ใดเที่ยวไปขออาหารมา ผู้นั้นชื่อว่า
ประพฤติธรรม อนึ่ง บุคคลผู้เลี้ยงบุตรและ
ภรรยาของตน เมื่อไทยธรรมมีน้อย ก็เฉลี่ยให้
แก่สมณะและพราหมณ์ บุคคลนั้นข้อว่าประ-
พฤติธรรม เมื่อคนตั้งแสนฆ่าสัตว์มาบูชาแก่
คนผู้ควรบูชาจำนวนพัน อิสรภาพนับตั้งแสน
นั้น ย่อมไม่ถึงแม้เสี้ยวแห่งผลทานของตน
เข็ญใจผู้ยังไทยธรรมให้เกิดโดยชอบให้อยู่.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ธมฺมํ ได้แก่ธรรมคือสุจริต 3
ประการ. บทว่า สมุจฺฉกํ ความว่า แม้ผู้ใดเที่ยวไปขออาหารดิบแล
สุกตามบ้านก็ตาม นำผลาผลมาแต่ป่าก็ตาม ผู้นั้นชื่อว่าประพฤติธรรม
นั้นแล. บทว่า ทารญฺ จ โปสํ ความว่า อนึ่ง บุคคลผู้เลี้ยงบุตรและ
ภรรยาของตน. บทว่า ททํ อปฺปกสฺมึ ความว่า แม้เมื่อไทยธรรม
มีน้อย เมื่อเฉลี่ยให้แก่สมณะและพราหมณ์ผู้ตั้งอยู่ในธรรม ชื่อว่า
ประพฤติอยู่ซึ่งธรรม. บทว่า สตสหสฺสานํ สหสฺสยาคินํ ความว่า
ยัญที่คนตั้งแสนฆ่าสัตว์อื่นมาบูชาแก่คนที่ควรบูชาจำนวนพัน คือ เมื่อ
อิสรชนตั้งแสนบูชาแก่คนที่ควรบูชาจำนวนพันอยู่.
บทว่า กลฺลํปิ มาคฺฆนฺติ ตถาวิธสฺส เต ความว่า อิสรภาพ
นับตั้งแสนนั้น คือ ยัญที่บูชาแก่คนที่ควรบูชาจำนวนพัน ย่อมไม่ถึง
เสี้ยวที่ 16 แห่งผลทานของทุคคตมนุษย์ ผู้ยังไทยธรรมให้เกิดขึ้นโดย
ธรรมสม่ำเสมอให้อยู่.
ลำดับนั้น เศรษฐีได้กำหนดฟังถ้อยคำของปัญจสิขเทพบุตรแล้ว
ที่นั้นเศรษฐีเมื่อจะถามถึงเหตุแห่งการบูชาอันไร้ผล กะปัญจสิขเทพบุตร
นั้น จึงกล่าวคาถาที่ 9 ว่า :-
เพราะเหตุไร ยัญนี้ก็ไพบูลย์มีค่ามาก
จึงไม่เท่าค่าแห่งผลทานที่บุคคลให้โดยชอบ
ธรรมเล่า ? ไฉนอิสรภาพนับด้วยแสนของผู้
ที่บูชามากมายหลายพันนั้น จึงไม่เท่าแม้ส่วน

เสี้ยวแห่งผลทานของตนเข็ญใจผู้ยังไทยธรรม
ให้เกิดโดยชอบให้อยู่.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ยญฺโญ ความว่า การให้และการ
บูชา. ชื่อว่าไพบูลย์ด้วยสามารถแห่งการบริจาคทรัพย์นับด้วยแสน และ
ชื่อว่ามีค่ามาก เพราะมีผลไพบูลย์ บทว่า สเมน ทินฺนสฺส ความว่า
เพราะเหตุไรจึงไม่เท่าค่าแห่งผลทานที่บุคคลให้โดยชอบธรรมเล่า ? บทว่า
กถํ สหสฺสานํ ความว่า ดูก่อนพราหมณ์ ไฉนอิสรภาพนับด้วยแสน
ของคนที่บูชาจำนวนพัน ๆ คือ ของคนจำนวนมากมายหลายพัน จง
ไม่ถึงเสี้ยวที่ 6 แห่งผลทานของทุคคตมนุษย์คนเดียว ผู้ยังไทยธรรม
ให้เกิดโดยธรรมแล้วให้อยู่.
ลำดับนั้น ปัญจสิขเทพบุตรเมื่อจะกล่าวแก่เศรษฐีนั้น ได้กล่าว
คาถาสุดท้ายว่า :-
เพราะว่าคนบางพวกตั้งอยู่ในกายกรรม
เป็นต้น อันไม่เสมอกัน ทำสัตว์ให้ลำบากบ้าง
ฆ่าให้ตายบ้าง ทำให้เศร้าโศกบ้าง แล้วจึงให้
ทาน ทักขิณาทานนั้น. มีหน้าชุ่มไปด้วยน้ำตา
พร้อมทั้งอาชญา จึงไม่เท่าถึงส่วนเสี้ยวแห่งผล
ทานที่บุคคลให้แล้วโดยชอบธรรม เพราะอย่าง
นี้อิสรภาพนับด้วยแสน ของผู้ที่บูชามากมาย

หลายพันเหล่านั้น จึงไม่เท่าถึงส่วนเสี้ยวแห่ง
ผลทานของคนเข็ญใจผู้ยังไทยธรรมให้เกิดโดย
ชอบให้อยู่.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า วิสเม คือ ตั้งอยู่ในกายกรรมเป็น
ต้นอันไม่เสมอกัน. บทว่า ฆตฺวา คือ ทำสัตว์ให้ลำบาก. บทว่า วธิตฺวา
คือ ทำสัตว์ให้ตาย. บทว่า โสจยิตฺวา คือ ทำสัตว์ให้มีความเศร้าโศก.
เศรษฐีนั้น ฟังธรรมกถาของปัญจสิขเทพบุตรแล้ว กล่าวว่า
ถ้าเช่นนั้นไปเถิดท่านจงเข้าไปนั่งในเรือน จะให้หน่อยหนึ่ง ปัญจสิข-
เทพบุตรได้ไปนั่งในสำนักของพราหมณ์เหล่านั้น ลำดับนั้น พิลารโกสิย
เศรษฐีเรียกทาสีคน 1 มาสั่งว่า เจ้าจงให้ข้าวลีบแก่พราหมณ์เหล่านี้
คนละทะนาน นางทาสีถือทะนานข้าวเปลือกเข้าไปหาพราหมณ์แล้ว
กล่าวว่า ท่านทั้งหลายจงเอาข้าวเปลือกเหล่านี้ไปหุงกิน ณ ที่ใดที่หนึ่ง
พราหมณ์ทั้งหลายกล่าวว่า พวกเราไม่ต้องการข้าวเปลือก พวกเรา
ไม่จับต้องข้าวเปลือก นางทาสีบอกเศรษฐีว่า ได้ยินว่าพราหมณ์ทั้งหลาย
ไม่จับต้องข้าวเปลือก เศรษฐีกล่าวว่า ถ้าเช่นนั้นเจ้าจงให้ข้าวสารแก่
พราหมณ์เหล่านั้น นางทาสีได้ถือเอาข้าวสารไปให้พวกพราหมณ์แล้ว
กล่าวว่า ท่านพราหมณ์ทั้งหลาย ขอพวกท่านจงรับเอาข้าวสารเถิด
พราหมณ์ทั้งหลายกล่าวว่า พวกเราไม่รับของดิบ นางทาสีบอกเศรษฐี
ว่า ข้าแต่นายได้ยินว่า พราหมณ์ทั้งหลายไม่รับของบิดา เศรษฐีกล่าวว่า

ถ้าเช่นนั้น เจ้าจงคดข้าวสำหรับโคกินใส่กระโหลกไปให้แก่พวก
พราหมณ์เหล่านั้น นางทาสีได้คดข้าวสุกสำหรับโคกินใส่กระโหลกไป
ให้พราหมณ์เหล่านั้นแล้ว พราหมณ์ทั้ง 5 ปั้นข้าวเป็นคำ ๆ ใส่ปาก
ทำให้ข้าวติดคอแล้วกลอกตาไปมานอนทำเป็นตายหมดความรู้สึก ทาสี
เห็นดังนั้นคิดว่า พราหมณ์จักตาย. จึงกลัวไปบอกเศรษฐีว่า ข้าแต่นาย
พราหมณ์เหล่านั้น ไม่อาจจะกลืนข้าวสำหรับโคได้ตายหมดแล้ว.
เศรษฐีนั้นคิดว่า คราวนี้คนทั้งหลายจักติเตียนเราว่า เศรษฐีนี้
มีใจชั่ว ให้นางทาสีให้ข้าวสำหรับโคแก่พวกพราหมณ์ผู้สุขุมาลชาติ
พวกพราหมณ์เหล่านั้นไม่อาจกลืนข้าวนั้นได้ จึงตายหมด ลำดับนั้น
เศรษฐีจึงกล่าวกะทาสีว่า เจ้าจงรีบไปเอาข้าวสำหรับโคในกระโหลก
เหล่านั้นมาเสีย แล้วจงคดข้าวสาลีที่โอชารสไปให้ใหม่ นางได้กระทำ
ตามนั้นแล้ว เศรษฐีเรียกพวกคนเดินถนนมาบอกว่า เราให้ทาสีนำ
อาหารตามที่เราเคยบริโภคไปให้พวกพราหมณ์เหล่านี้ พราหมณ์เหล่านั้น
มีความโลภบริโภคคำใหญ่ ๆ จึงติดคอตาย ท่านทั้งหลายจงรู้ว่า เราไม่มี
ความผิด แล้วให้ประชุมบริษัท.
เมื่อมหาชนประชุมกันแล้ว พราหมณ์ทั้งหลายลุกขึ้นแลดูมหาชน
แล้วกล่าวว่า ท่านทั้งหลายจงดูเศรษฐีนี้กล่าวเท็จ เศรษฐีกล่าวว่าได้ให้
ข้าวสำหรับตนบริโภคแก่พวกเรา ความจริงเศรษฐีได้ให้ข้าวสำหรับโค
กินแก่พวกเราก่อน เมื่อพวกเราทำเป็นนอนตาย จึงให้ทาสีไปคดข้าวนี้

ส่งมาให้ กล่าวดังนี้แล้วจึงคายข้าวที่อมไว้ในปากลงบนพื้นดินแสดงแก่
มหาชน มหาชนพากันติเตียนเศรษฐีว่า แน่ะคนอันธพาลเจ้าทำวงศ์
ตระกูลของตนให้พินาศ ให้เผาโรงทาน ให้จับคอพวกยาจกขับไล่ไป
บัดนี้เมื่อจะให้ข้าวแก่พวกพราหมณ์สุขุมาลชาติเหล่านี้ ได้เอาข้าวสำหรับ
โคกินให้ เมื่อเจ้าจะไปปรโลก เห็นจะเอาสมบัติในเรือนของเจ้าผูกคอ
ไปด้วยกระมัง.
ขณะนั้น ท้าวสักกะถามมหาชนว่า ท่านทั้งหลายรู้ไหมว่าทรัพย์
ในเรือนนี้เป็นของใคร มหาชนตอบว่าไม่รู้ ท้าวสักถะถามว่า พวกท่าน
เคยได้ยินไหมว่าครั้งกระโน้น ในพระนครนี้มีมหาเศรษฐี เมืองพาราณสี
สร้างโรงทานแล้วบำเพ็ญทานเป็นการใหญ่ มหาชนตอบว่า ถูกแล้ว
พวกเราได้ยิน ท้าวสักกะกล่าวว่า เราคือเศรษฐีคนนั้น ครั้นให้ทาน
แล้วไปเกิดเป็นท้าวสักกเทวราช แม้บุตรของเราก็มิได้ทำลายวงศ์ตระกูล
ได้ให้ทานแล้วเกิดเป็นจันทเทพบุตร บุตรของจันทเทพบุตรเกิดเป็น
สุริยเทพบุตร บุตรของสุริยเทพบุตรเกิดเป็นมาตลีเทพบุตร บุตรของ
มาตลีเทพบุตรเกิดเป็นคนธรรพ์เทพบุตรชื่อปัญจสิขะ บรรดาเทพบุตร
เหล่านั้น ผู้นี้คือจันทเทพบุตร ผู้นี้คือสุริยเทพบุตร ผู้นี้คือมาตลีสัง-
คาหกเทพบุตร คือผู้นี้คนธรรพ์เทพบุตร ชื่อปัญจสิขะ ผู้เป็นบิดาของ
เศรษฐีผู้มีใจลามกนี้ กุศลทานที่มีคุณมากอย่างนี้ บัณฑิตควรทำแท้
ขณะกำลังกล่าวอยู่ เพื่อจะตัดความสงสัยของมหาชน เทพบุตรทั้งหลาย

จึงเหาะไปในอากาศ ยืนเปล่งรัศมีกายงามรุ่งเรืองอยู่ด้วยอานุภาพอันยิ่ง
ใหญ่ พระนครทั้งสิ้นได้เป็นเหมือนสว่างไสวอยู่.
ท้าวสักกะเรียกมหาชนมาตรัสว่า พวกเราจะทิพยสมบัติของตน
มา ก็เพราะพิลารโกสิยเศรษฐีผู้มีใจลามก. ผู้สืบสกุลวงศ์คนสุดท้ายนี้
เศรษฐีใจลามกคนนี้ ทำลายวงศ์ตระกูลของตน ให้เผาโรงทาน ให้จับ
คอพวกยาจกขับไล่ไป ตัดวงศ์ของพวกเราเสีย เขาไม่ให้ทานไม่รักษา
ศีล จะพึงเกิดในนรก พวกเรามาเพื่ออนุเคราะห์เศรษฐีนี้ เมื่อจะทรง
ประกาศคุณแห่งทาน ได้แสดงธรรมแก่มหาชน.
แม้พิลารโกสิยเศรษฐี ก็ได้ประคองอัญชลีขึ้นเหนือเศียร ให้
ปฏิญญาแก่ท้าวสักกะว่า ข้าแต่พระองค์ตั้งแต่นี้ไป ข้าพระองค์จักไม่ทำ
ลายวงศ์ตระกูลที่มีมาแต่โบราณ จักบำเพ็ญทาน ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป
ถ้ายังไม่ได้ให้อาหารที่ได้มา แม้ที่สุดจนน้ำและไม้ชำระฟันแก่ผู้อื่นก่อน
ข้าพระองค์จักไม่บริโภคเลย ท้าวสักกะทรงทรมานเศรษฐีนั้นทำให้หมด
พยศ ให้ตั้งอยู่ในศีล 5 แล้วพาเทพบุตรทั้ง 4 ไปสู่วิมานของตน ๆ
แม้เศรษฐีนั้นครั้นดำรงอยู่ตลอดชีวิตแล้ว ก็ได้ไปเกิดในดาวดึงส์พิภพ.
พระศาสดาครั้นทรงนำพระธรรมเทศนานี้มาแสดงแล้ว ตรัสว่า
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เมื่อก่อนภิกษุนี้ไม่มีศรัทธา ไม่ให้ทานแก่ใคร ๆ
แก่เราได้ทรมานเธอให้รู้จักผลทานอย่างนี้ แม้เกิดในภพต่อ ๆ มาก็ยังละ
จิตคิดจะให้ทานนั้นไม่ได้ แล้วทรงประชุมชาดกว่า เศรษฐีในครั้งนั้น

ได้มาเป็นภิกษุผู้เป็นทานบดีรูปนี้ ในบัดนี้ จันทเทพบุตรในครั้งนั้นได้
มาเป็นพระสารีบุตรในบัดนี้ สุริยเทพบุตรในครั้งนั้น ได้มาเป็นพระ-
โมคคัลลานะในบัดนี้ มาตลีเทพบุตรในครั้งนั้น ได้มาเป็นพระกัสสป
ในบัดนี้ ปัญจสิขเทพบุตรในครั้งนั้น ได้มาเป็นเราตถาคต ฉะนั้นแล.
จบ อรรถกถาพิลารโกสิยชาดกที่ 12

3. จักวากชาดก



ว่าด้วยนกจักรพราก



[1453] ดูก่อนจักรพราก ท่านมีสีสวย รูปงาม
ร่างกายแน่นแฟ้น มีสีแดงดังทอง ทรวดทรง
งาม ใบหน้าผุดผ่อง.
[1454] ท่านจับอยู่ที่ฝั่งคงคา เห็นจะได้กิน
อาหารอย่างนี้ คือปลากา ปลากระบอก ปลา
หมอ ปลาเค้า ปลาตะเพียนกระมัง.
[1455] ดูก่อนสหาย สิ่งอื่นนอกจากสาหร่าย
และแหนแล้ว เรามิได้ถือเอาเนื้อสัตว์บกหรือ
สัตว์น่ามากินเป็นอาหารเลย สาหร่ายและแหน
เท่านั้นเป็นอาหารของเรา.
[1456] ดูก่อนสหาย เราไม่เชื่อว่าอาหารของ
นกจักรพรากเป็นอย่างนี้ แม้เรากินอาหารที่
คลุกเคล้าด้วยเกลือและน้ำมันในบ้าน.